ยุคนี้ใครๆ ก็ขายของออนไลน์กันทั้งนั้น
ปัจจุบันนี้ มีคนจำนวนมาก ทั้งหญิงและชาย หันมาขายของผ่านช่องทางออนไลน์กันเยอะมาก บางคนทำเป็นอาชีพหลัก บางคนก็ทำเป็นอาชีพเสริม แต่ไม่ว่าจะทำแบบไหน การขายของออนไลน์ก็ยังเป็นช่องทางที่สร้างรายได้ให้ผู้ที่ทำได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือ เริ่มต้นง่าย ลงทุนน้อย
ก่อนที่เราจะเริ่มขายของได้นั้น เราก็ต้องมีสินค้าที่จะขายก่อน เนื่องจากว่าในตลาดมีสินค้าอยู่เป็นจำนวนมาก จึงอาจเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจเลือกสินค้าที่จะนำมาขาย การเลือกสินค้าที่เหมาะสม จะส่งผลให้คุณมีโอกาสในการประสบความสำเร็จสูง
อ่านเพิ่ม >> วิธีเลือกสินค้าให้เหมาะกับการขายออนไลน์
ทำอย่างไรถึงจะได้สินค้ามาขายออนไลน์?
ผลิตสินค้าเอง
ปัจจุบันการผลิตสินค้าเป็นแบรนด์ของตัวเอง กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะทำได้ไม่ยาก และไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในส่วนของการผลิต เพียงแค่มีเงินทุนและรู้ว่าต้องการจะผลิตสินค้าอะไร เท่านี้ก็สามารถผลิตสินค้าได้แล้ว ซึ่งส่วนที่เหลือโรงงานที่รับผลิตสินค้าจะจัดการให้เราทั้งหมด ทั้งเรื่องสูตร ส่วนผสม วัตถุดิบ ขอ อย. รวมถึงมีทีมงานที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำแก่เราด้วย
หากเรามีความพร้อมเรื่องเงินทุน มีความรู้เรื่องสินค้าและการตลาด มีทีมงานขายและตัวแทนจำหน่าย การผลิตสินค้าเอง ก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ
ซื้อมาขาย
คือการซื้อสินค้าจาก “ผู้ผลิตสินค้า” หรือ “พ่อค้าคนกลาง” แล้วนำมาขายต่อเพื่อกินกำไร
กำไรของการซื้อมาขายไปก็คือ “เงินส่วนต่างของการขาย” นั่นเอง ตัวอย่างเช่น เราไปรับเสื้อผ้ามาจากประตูน้ำ ซื้อเสื้อมาตัวละ 200 บาท แล้วเราขายต่อในราคาตัวละ 500 บาท เราก็จะได้กำไรจากส่วนต่าง 300 บาท นั่นเอง
ตัวแทนจำหน่าย
อาชีพยอดฮิตในยุคนี้ “ที่สร้างความสำเร็จแบบคาดไม่ถึง ให้กับคนเป็นจำนวนมาก”
ตัวแทนจำหน่าย เป็นคนช่วยขายและกระจายสินค้าไปยังผู้บริโภคโดยตรง ทำให้ยอดขายเติบโตและเกิดการขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น ตัวแทนจำหน่ายจึงมีความสำคัญต่อสินค้าเป็นอย่างมาก ผู้ผลิตหรือเจ้าของแบรนด์สินค้าต่างๆ จึงต้องการตัวแทนจำหน่ายเป็นจำนวนมาก เพื่อทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและขายสินค้าหรือบริการได้มากขึ้นนั่นเอง
สำหรับคนที่มีเงินทุนน้อย หรือไม่มีทุน แต่อยากขายของออนไลน์ อยากสร้างรายได้เพิ่ม ลองศึกษาและทดลองเป็นตัวแทนจำหน่ายดูนะครับ เพราะการเป็นตัวแทนจำหน่ายนั้น สามารถสร้างความร่ำรวยให้กับผู้ที่ทำได้เหมือนกันนะครับ มีตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จจากการเป็นตัวแทนอยู่มากมาย
ประเภทของตัวแทนจำหน่าย
ตัวแทนจำหน่ายแบบสต๊อกสินค้า
คือ การที่เราลงทุนซื้อสินค้าที่ต้องการจะขายมาไว้กับเรา แล้วทยอยขายออกไป เป็นการซื้อสินค้าครั้งละมากๆ เพื่อให้ได้ส่วนลด แล้วนำสินค้ามาเก็บสต๊อกไว้กับตัวเอง ขายสินค้าเอง ทำการจัดส่งสินค้าเอง ซึ่งโดยส่วนมากแล้วเจ้าของสินค้าจะตั้งราคาขายส่งให้กับตัวแทนจำหน่ายไว้เป็นเรทแบบขั้นบันได ยิ่งซื้อมาก ยิ่งได้ราคาถูก เมื่อนำสินค้าไปขายต่อก็จะได้ส่วนต่างกำไรเพิ่มมากขึ้น
รายได้ของตัวแทนจำหน่ายแบบสต๊อก คือ ส่วนต่างราคาจากที่รับมาจากร้านค้า ยิ่งสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากเท่าไหร่ ต้นทุนก็ถูกลงมากเท่านั้น ส่งผลทำให้มีกำไรจากส่วนต่างของราคาขายปลีกมากขึ้นนั่นเอง
ตัวแทนจำหน่ายแบบไม่ต้องสต๊อกสินค้า
คือ ตัวแทนจำหน่ายที่ไม่ต้องซื้อสินค้าไปสต๊อกเอง ไม่ต้องลงทุน เพียงแค่ขายสินค้า มองหาลูกค้าให้ร้านค้า ปิดการขาย เมื่อผู้ซื้อตกลงซื้อสินค้า และโอนเงินค่าสินค้าให้กับตัวแทนจำหน่ายแล้ว ตัวแทนจะต้องสรุปรายละเอียดการสั่งซื้อและโอนเงินให้กับเจ้าของสินค้า เพื่อให้ดำเนินการจัดส่งสินค้าให้แก่ผู้ซื้อต่อไป
รายได้ของตัวแทนจําหน่ายแบบไม่สต๊อกสินค้า จะได้รับเป็นค่าคอมมิชชั่นโดยคำนวณจากยอดขาย ตัวแทนจำหน่ายแบบไม่สต๊อกสินค้าเปรียบเสมือนนายหน้าที่หาลูกค้ามาให้กับเจ้าของสินค้า หรือผู้ผลิต ไม่มีความเสี่ยงว่าจะขาดทุน ในกรณีที่ขายสินค้าไม่ได้
ตัวแทนจำหน่ายแบบไม่สต๊อกสินค้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ ตัวแทนจำหน่ายแบบ Affiliate และตัวแทนจำหน่ายแบบ Drop Ship
- Dropship (ดรอปชิป) คือ ตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่ไม่ต้องมีสินค้าเป็นของตัวเอง การขายสินค้าแบบดรอปชิปจะเป็นการนำสินค้าของคนอื่นมาขาย โดยที่ไม่ต้องสต๊อกสินค้า และไม่ต้องส่งของเอง เพียงแค่นำข้อมูลสินค้ามาโพสต์ขายลงในแพลตฟอร์มโซเชียลต่างๆ เช่น Facebook, LINE OA, IG หรือ Twitter หรือจะทำเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ของตัวเองก็ได้ เมื่อขายสินค้าได้แล้ว เราค่อยไปสั่งสินค้าจากเจ้าของสินค้าหรือโรงงาน แล้วให้เขาส่งสินค้าไปให้ลูกค้าของเราอีกที
- Affiliate (แอฟฟิลิเอท) คือ ตัวแทนอิสระ เป็นลักษณะของการทำการตลาดรูปแบบใหม่ที่อาศัยตัวแทนโฆษณา นายหน้า เซลแมน ตัวแทนจำหน่าย ไปจนถึงผู้รีวิวสินค้า โดยจะได้ค่าตอบแทนเป็นค่าคอมมิชชั่นจากเจ้าของสินค้าหรือบริการที่ให้เราเป็นตัวแทน
อ่านเพิ่ม >> ทำธุรกิจออนไลน์ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องขาย ไม่ต้องสต๊อก ด้วย Affiliate Marketing
การทำธุรกิจออนไลน์ในยุคนี้มีทางเลือกมากมาย ใครชอบแบบไหน ถนัดแบบไหน ก็เลือกแบบนั้น แต่สำหรับคนที่ไม่มีทุน หรือมีน้อย แต่อยากขายของออนไลน์ เราขอแนะนำให้เริ่มต้นจากการเป็นการสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า โดยเฉพาะการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าแบบการทำ Dropship ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะใช้เงินลงทุนน้อยมาก เรียกว่าแทบไม่ต้องลงทุนเลย เรามาทำความรู้จักกับ Dropship ช่องทางทำเงินสำหรับคนไม่มีทุนกันครับ
Dropship (ดรอปชิป) คืออะไร?
Dropship คือ การเป็นคนกลางในการนำสินค้าของผู้อื่นมาขาย และเราจะได้ผลประโยชน์เป็นส่วนต่างของราคาสินค้าเมื่อนำสินค้าไปเสนอขายให้กับลูกค้าในอีกราคาหนึ่ง โดยที่ไม่จำเป็นต้องส่งสินค้าหรือประกันสินค้าใดๆ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีทุนตั้งต้น และไม่มีเวลาศึกษาเกี่ยวกับสินค้ามากนัก การขายมีลักษณะเหมือนขายของออนไลน์ทั่วไป ซึ่งโรงงานหรือผู้ผลิตอาจไม่มีความชำนาญด้านการขาย จึงให้ Dropship ช่วยกระจายสินค้าหรือหาลูกค้าให้นั่นเอง
ข้อดีของการขายของออนไลน์แบบดรอปชิป
- ใช้ต้นทุนน้อย การขายของแบบดรอปชิปสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากๆ ไม่ต้องมีสินค้าอยู่ที่ตัวเองเลยสักชิ้นก็ได้ รูปภาพและข้อมูลของสินค้า ทางเจ้าของสินค้าหรือโรงงานเตรียมไว้ให้แล้ว แค่มีช่องทางโปรโมทสินค้าเท่านั้น เมื่อมีลูกค้าเข้ามาสั่งสินค้าและชำระเงินแล้ว จึงค่อยทำการสั่งซื้อสินค้าอีกที
- เริ่มต้นง่าย ลดขั้นตอนซับซ้อน การขายแบบดรอปชิปจะตัดปัญหาเรื่องการหาโกดังสินค้าเพราะไม่ต้องสต๊อกสินค้า ไม่ต้องแพ็คของ และไม่ต้องจัดส่งสินค้าเอง ทางเจ้าของสินค้าจะเป็นผู้จัดการให้ทั้งหมด
- สินค้ามีความหลากหลาย เลือกขายได้ ตัวแทนสามารถเลือกขายอะไรก็ได้ สินค้าประเภทไหนที่กำลังฮิต กำลังเป็นที่นิยม ตัวแทนสามารถนำมาโพสต์ขายได้เลย ส่วนสินค้าชิ้นไหนที่ขายไม่ดี เทรนด์เริ่มตก ก็สามารถเลิกขายได้เลยเช่นกัน
- ทำงานง่าย ขายที่ไหนก็ได้ การขายของออนไลน์แบบดรอปชิป เราสามารถทำงาน ขายของออนไลน์ที่ไหนก็ได้ แค่มีสมาร์ทโฟนหรือแทปเล็ต และอินเทอร์เน็ต เท่านี้ก็ขายสินค้าได้แล้ว
ข้อจำกัดของการขายแบบดรอปชิป
- การแข่งขันค่อนข้างสูง การเป็นตัวแทนจำหน่ายแบบดรอปชิปนั้นมีคนทำเป็นจำนวนมาก เพราะว่าลงทุนน้อย ทำง่าย ใครก็สามารถทำได้ การแข่งขันจึงค่อนข้างสูงตามไปด้วย โดยเฉพาะเรื่องของราคา หากตั้งราคาสูงเกินไป ลูกค้าก็จะไปหาซื้อจากร้านที่ขายถูกกว่า
- กำไรน้อย เนื่องจากมีการแข่งขันค่อนข้างสูง คนทำเยอะ จึงทำให้ตัวแทนแข่งกันลดราคา เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้าที่ร้านของตนเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่ลูกค้าจะเลือกซื้อสินค้าจากร้านที่ราคาถูกและให้ข้อเสนอที่ดีกว่า
- ไม่รู้จำนวนสต๊อกที่แท้จริง ถ้าเป็นตัวแทนจำหน่ายแบบสต๊อกสินค้า ตัวแทนจะจัดการสต๊อกสินค้าเอง ซึ่งจะรู้ว่ามีสินค้าอะไรบ้าง เหลือสินค้าในสต๊อกเท่าไหร่ แต่การขายของดรอปชิป ตัวแทนจะไม่สามารถรู้ได้ทันทีว่ามีสินค้าเหลืออยู่ในสต๊อกเท่าไหร่ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น ตัวแทนจะต้องคอยอัปเดตสินค้ากับทางเจ้าของสินค้า (Suppliers) และหน้าร้านออนไลน์ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
- การจัดส่งที่ยุ่งยาก บางครั้งการจัดส่งอาจล่าช้า และไม่สามารถควบคุมได้
- ปัญหาจากฝั่งต้นทางของสินค้าหรือ Supplier ปัญหาที่เกิดขึ้นจากฝั่งต้นทางของสินค้า เป็นสิ่งที่ร้านค้าแบบดรอปชิปไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งที่ทำได้คือร้านค้าต้องน้อมรับคำตำหนิจากลูกค้าไปเต็มๆ รวมถึงจะต้องรับผิดชอบปัญหาที่เกิดจากการสั่งซื้อหรือจัดส่งให้กับลูกค้าด้วย เช่น ถ้าสินค้ามีตำหนิ ไม่ได้คุณภาพ ไม่ตรงกับในรูป ลูกค้าอาจขอคืนหรือเปลี่ยนสินค้า
เคล็ดลับขายของออนไลน์แบบดรอปชิป ทำอย่างไร ให้ขายดี
ศึกษาตลาดสินค้าที่จะขาย สิ่งแรกต้องทำก่อนจะเริ่มตัดสินใจขายของแบบดรอปชิป เราต้องเรียนรู้การแข่งขันของสินค้าชิ้นนั้นๆ ก่อน เช่น ขายที่ไหน ส่วนใหญ่ขายบนแพล็ตฟอร์มโซเชียลอะไรบ้าง ราคาเมื่อเทียบกับคู่แข่ง รวมถึงถึงคอมเมนต์หรือรีวิวจากผู้ซื้อ โอกาสในการขายได้มีมากน้อยแค่ไหน คุ้มหรือเปล่า? เพราะถ้าเราเลือกสินค้ามาขายไม่ดี ต่อให้เราทำการตลาดดีแค่ไหนยังไงก็ขายได้ยาก หรืออาจจะขายไม่ได้เลย
ศึกษาจากคู่แข่ง เป็นเคล็ดลับขั้นพื้นฐานของการทำธุรกิจทุกประเภท ไม่ใช่เฉพาะการขายของแบบดรอปชิปเท่านั้น เพราะสิ่งที่ทำให้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์มีความโดดเด่นและน่าสนใจ คือการพรีเซนต์สินค้า ดังนั้น ถ้าเราขายสินค้าที่มีคู่แข่งขายเหมือนกับเรา เราก็ต้องศึกษาวิธีการขายและการทำตลาดของคู่แข่งด้วย เพื่อนำมาปรับใช้จะได้แข่งขันกับเขาได้
เช็คให้ชัวร์ว่าแบรนด์หรือเจ้าของสินค้าสามารถผลิตสินค้าได้เพียงพอแค่ไหน? เป็นการประเมินสถานการณ์ให้ดีที่สุดไว้ก่อน ว่าแบรนด์ที่เราจะทำดรอปชิปด้วย เขามีการบริหารจัดการที่ดี มีสต๊อกสินค้าเพียงพอต่อความต้องการที่จะขายหรือเปล่า
ยกตัวอย่างเช่น สมมติเราโปรโมทสินค้าและลงโฆษณาบน Facebook เสียค่ายิงแอดหลักร้อย ซึ่งช่วงแรกขายดีมาก ส่งสินค้าทัน เราจึงขยับค่าโฆษณาขึ้น พอเรามียอดขายเพิ่มมากขึ้น เจ้าของสินค้าที่เราติดต่อทำดรอปชิปผลิตสินค้าให้ไม่ทัน สินค้าไม่พอส่ง เพราะต้องส่งสินค้าให้ตัวแทนดรอปชิปรายอื่นด้วย ซึ่ง ตรงนี้อาจทำให้เราขาดทุนในเรื่องของการทำโฆษณา เสียโอกาสในการขาย และอาจจะเสียลูกค้าไปเลย
ทดสอบสั่งซื้อสินค้าก่อนขายจริง ถ้าเราตัดสินใจที่จะเป็นตัวแทนดรอปชิปแล้วจริงๆ ให้เราลองสั่งสินค้ากับแบรนด์หรือเจ้าของสินค้าดูก่อน อาจจะเป็นชิ้นที่ถูกที่สุดก็ได้ เพื่อเป็นการทดสอบความถูกต้อง สภาพสินค้า ระยะเวลาการจัดส่ง แล้วจดบันทึกความคิดเห็นหรือปัญหาที่เจอ เพื่อเก็บไว้ช่วยติดตามสินค้าให้กับลูกค้าในอนาคต วิธีนี้จะช่วยให้ลูกค้าเห็นถึงความใส่ใจในการให้บริการของเรา
ตั้งราคาสินค้าตามมาตรฐาน การตั้งราคาสินค้าที่สูงจนเกินไป อาจจะไม่เหมาะกับการขายแบบดรอปชิป เพราะเราไม่มีสินค้าจริงให้ลูกค้าได้ดู และมีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะไปซื้อสินค้าจากร้านอื่นที่ราคาถูกกว่า แต่ถ้าหากตั้งราคาต่ำเกินไป ตัวแทนก็อาจจะได้กำไรน้อย จนทำให้รู้สึกว่าไม่คุ้มค่าที่จะขาย เพราะฉะนั้น เราควรตั้งราคาตามมาตรฐานของตลาดจะดีที่สุด
ใครที่กำลังสนใจอยากขายสินค้า แต่ไม่อยากลงทุนเยอะ หรือมีทุนน้อย ไม่อยากสต๊อกสินค้า ไม่มีเวลาจัดส่งสินค้าเอง การเป็นตัวแทนขายของแบบดรอปชิป ก็นับว่าน่าสนใจ เพราะสามารถขายสินค้าได้หลากหลายประเภท ชอบสินค้าแบบไหน ก็เลือกสินค้าแบบนั้นมาขาย และเราต้องไม่ลืมที่จะศึกษาข้อมูลของสินค้าให้รอบคอบและละเอียดถี่ถ้วน ที่สำคัญคือ เราต้องมีความตั้งใจและมีความทุ่มเท จึงประสบความสำเร็จ